วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560

The Gender Unicorn คืออะไร - ทำไมต้องยูนิคอร์น!?


เห็นแผนภาพนี้แล้วก็พอจะเดาได้โนะ ว่ามันเป็นแผนภาพไว้สำรวจตัวเองถึงเรื่องเพศ รสนิยม และการแสดงออกทางเพศ (พูดง่ายๆ ก็คือเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองนั่นแหละ)

วิธีทำก็คือ mark level ของตัวเองในหัวข้อต่างๆ ตามที่รู้สึก... แค่นี้เอง จบปิ๊ง! 
(ทำให้ครบทุก 3 แท่งในแต่ละหัวข้อนาจา ไม่ใช่เลือกอันใดอันนึง มีมากใส่มาก มีน้อยใส่น้อย แค่นั้นแหละจ้า)

ข้อดีของ Gender Unicorn คือ มันไม่ใช่แบบสำรวจที่พอเราทำเสร็จแล้วมันจะจัดประเภทให้เราว่าเป็นคนแบบ 1, 2, 3, 4... เนื่องจากระดับของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นกราฟของแต่ละคนที่ได้มันจะสะท้อนความเป็นปัจเจกมากๆ แสดงตัวตนได้ตรงตามจริงที่สุด และไม่น่าจะมีของใครเหมือนกัน 100% นะ

โดยไอเดียของยูนิคอร์นคือ...

(อันนี้หานานมากสักพักกว่าจะเจอ)

และเนื่องจาก Gender ในตัวของแต่ละคนมันมีความ Fluid หรือเลื่อนไหลได้ ดังนั้นระดับในผังนี้สามารถเปลี่ยนค่าได้เรื่อยๆ นะ ลองสำรวจตัวเองบ่อยๆ ได้

แผนผัง Gender Unicorn นี้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยกลุ่มคน Lesbian-Gay-Bisexual-Transgender-Queer (Aka. LGBTQ) 



ซึ่งปรับปรุงขึ้นมาจาก The Gingerbread Person (ก่อนหน้านี้มันเคยมีแผนผังมนุษย์ขนมขิงมาก่อน.. ซึ่งถ้าไปเสิร์จๆ ดูจะเห็นว่ามันมีหลาย version มาก)




คร่าวๆ ก็เป็นประมาณนี้ค่ะ


เครดิตตามภาพ
อ้างอิง:
https://twitter.com/himatako_th/status/735423255977287680

ป.ล. ข้อเสียหรือปัญหาคือถ้าเรารู้จักตัวเองไม่ดีพอ เราจะรู้ได้ไงในแต่ละอันตัวเราอยู่ที่เว่ลไหน 
แต่เราว่านี่ก็คือ point ของแบบสำรวจนี้ คือการให้เราได้ทบทวนตัวเองนั่นเองนะฮ้าา ชริ้งง ~~ 

วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

18 เพศของมนุษย์ - มนุษย์มีเพียงแค่ 18 เพศจริงหรือ


(เครดิตตามภาพ)



จริงๆ ภาพนี้เราเคยเห็นมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว ไม่คิดว่าพอมาเสิร์จหาอีกทีจะเจอได้ง่ายถึงขนาดนี้ 
(ถึงในรูปนี้จะมีแค่ 12 ประเภท //เครดิตตามภาพ)

"ผมว่านะ ธรรมชาติกำหนดให้มีเพียงสองเพศก็จริง แต่ธรรมชาติไม่ได้กำหนดว่าเราต้องรักแต่เพศตรงข้าม ความรักมันไม่มีเพศ คนเราต่างหากที่ไปกำหนดเพศให้ความรัก ความรักไม่มีผิด ไม่มีถูก 
 เพราะงั้นไม่ว่าคุณจะรักใครต่อให้เค้าแก่จนจะเข้าโลง เด็กจนทำคุณโดนข้อหาพรากผู้เยาว์
ไม่ว่าจะรวยหรือจน แม้แต่พี่กับน้อง พ่อกับลูก ครูกับศิษย์ คนกับสัตว์ หรือแม้แต่สิ่งของ
 
ไม่ต้องทำหน้าแหยงผมในใจก็ได้ ความรักมันมีหลายแบบ 
อย่าเอารักไปโยงกับเซ็กส์ครับ มันเป็นของที่มาคู่กันแต่มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แยกให้ออก! "

สรุปคำคมเด็ดดวงปิดกระทู้นี้อธิบายได้ครอบจักรวาลมาก

วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทรงผม Unisex ไทยโบราณ

ตอนแรกที่คุยกันกับอาจารย์ และที่อ่านพบใน TCDC Trend 2017 ก็คิดว่าไอเดียของ Gender fluid หรือสภาวะความไม่มีเพศเป็นเรื่องใหม่
แต่พอมาศึกษาดูก็พบว่ามันมีแนวคิดนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ดูได้จากแฟชั่นทรงผมย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์

ก็พบว่าทรงผมประเภทเช่นในรูปนี้ได้รับความนิยมโดยทั่วไป ทั้งในและนอกราชสำนัก ตั้งแต่บุคคลธรรมดาจนถึงเจ้านายชั้นสูง

เมื่อก่อนเคยเห็นภาพทรงผมประมาณนี้จากรูปเก่าๆ ของพระมเหสีองค์ต่างๆ ในรัชกาลที่ 5 และตามในหนังประวัติศาสตร์ต่างๆ ส่วนตัวก็แค่คิดเฉยๆ ว่ามันเหมือนผู้ชาย ไม่เห็นสวยเลย แต่ไม่เคยคิดตั้งคำถามโดยสังเกตว่ามันเป็นความ Unisex -คือเป็นทรงผมของเพศไหนก็ได้

ทรงผมต่างๆ ทั้ง "ทรงผมปีก" "ดอกกระทุ่ม" "มหาดไทย" นั้น มีประวัติยาวนานสืบย้อนกลับไปได้ถึงในสมัยอยุธยา

จึงจะพอสรุปได้ว่าไอเดียของความไร้เพศสภาพไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคร่วมสมัยนี้ตามอย่างที่เคยเข้าใจ


(ข้อมูลนี้พบจากหนังสือ Very Thai ที่อาจารย์ต้อมให้ยืมมาหาข้อมูล แล้วดึงมาขยาย)
อ้างอิงรูปภาพ: http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4374.105
สำหรับศึกษาเพิ่มเติม

วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560

📖 Literature ที่อ่านประกอบการ research 📚📚

โปรเจคนี้เราใช้การอ่านเป็นหลักในการ Explore เรื่องเกี่ยวกับ Gender และเฟมินิสม์


Genderism
 - ของพี่หนุ่ม โตมร ศุขปรีชา
ความเรียงเรื่อง "โลกหลากเพศ" ที่ทั้งเข้มข้นและเปิดหูเปิดตาที่สุดเป็นเล่มแรกที่นึกถึงเลยพอรู้ว่าจะต้องมาทำ project เรื่อง gender นี้แล้ว หนังสือเล่มนี้นานแล้ว เป็น 10 ปี หายากมากๆ เจอที่งานมหกรรมหนังสือ สนพ. a book เอามาลดราคาขาย ดีใจมั่กๆ ที่เจอน้ำตาจิไหล
(แต่ก็ยังไม่ได้อ่าน)

ที่อ่านไปบ้างแล้วคือ "เรื่องรักของบางเรา" โดยนักเขียนคนเดียวกัน
(ที่เห็นโพสต์ด้านล่างคือเอามาจากหนังสือเล่มนี้) เป็นรวมสารคดีและบทความเกี่ยวกับเรื่องเพศอันหลากหลาย โดย โตมร ศุขปรีชา เป็นหนังสือเล่มแรกที่ว่าด้วยเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับเพศไม่ว่าจะเป็นเพศใด


3 เล่มล่างนี้เจอ ยืมมาจากห้องสมุด TK Park
คำ ผกา เป็นนักเขียนหญิง นักวิจารณ์ฝีปากกล้า เธอเขียน "กระทู้ดอกทอง" เล่มซ้ายที่เห็นนี้ด้วย
(หนังสือรวมบทความสะท้อนภาพสตรี-การเมืองไทยที่ปรากฏในวรรณกรรมและภาพยนตร์ไทย)
  



"The Female of the Species"
- Mindy McGinnis

ตอนแรกเห็นปกก็คิดว่าเป็นหนังสือประเภท non-fiction เชิงชีวิวิทยาแน่ๆ เลย แต่เปล่า มันเป็น novel เกี่ยวกับคนนี่แหละ วัยรุ่นๆ เป็น Young Adult Fiction ตัวละครมี 3 ตัว ที่ผลัดๆ สลับเล่าเรื่องกันบทละคน เท่าที่เข้าใจคือ Anna พี่สาวของ Alex ตัวละครเอกถูกฆาตกรรม (อเล็กซ์ชื่อโคตรแมนแต่เธอเป็นผู้หญิงนะ) เธอก็เลยพยายามตามฆ่าฆาตกรคนนั้นกลับ 

ดูทรงแล้วเรื่องมันก็น่าจะออกแนวขรึมๆ ดาร์คๆ หน่อย (ขัดกับโทนสีหน้าปกที่เป็นสีเขียวอมเหลืองแป๊ดแสบตามั่กๆ) พูดถึงเพศผู้หญิงที่มักจะตกเป็น 'เหยื่อ' จากอะไรก็แล้วแต่ เช่น ความรุนแรง และอื่นๆ สุดท้ายแล้วตัวเรื่องมันจะนำไปสู่บทสรุปที่ว่า 

"What it means to be the female of the species?"






Trilogy ของ Holly Bourne 

เป็น Young Adult Fiction ที่พูดถึงประเด็นเรื่อง Feminism ถึงจะมีประเด็นอื่น อย่างในเล่มแรกก็จะพูดถึงความผิดปกติด้าน mental health อะไรด้วย แต่ก็กล่าวถึงไอเดียเรื่องเฟมินิสต์ประปราย แล้วมาเน้นหนักที่เล่มสุดท้าย ตัวละครหลักเป็นเพื่อนสาววัยรุ่น 3 คน Evie, Amber และ Lotti ร่วมกันก่อตั้ง Spinster Club แต่ละเล่มก็เล่าผ่านเรื่องของแต่ละคน

เราเริ่มอ่านเล่มสุดท้ายก่อน ตอนนี้กำลังอ่านเล่มแรก ที่มาอ่านเพราะอยากรู้ว่าวัยรุ่นฝรั่งเขามีความคิดและใช้ชีวิตกันกันยังไง



"Who Runs the World"
- A novel by Virginia Bergin

Welcome to the Matriarchy.

Sixty years after a virus has wiped out almost all the men on the planet, things are pretty much just as you would imagine a world run by women might be: war has ended; greed is not tolerated; the ecological needs of the planet are always put first. In two generations, the female population has grieved, pulled together and moved on, and life really is pretty good - if you're a girl. It's not so great if you're a boy, but fourteen-year-old River wouldn't know that. Until she met Mason, she thought they were extinct.

นิยายทีี่ว่าด้วยเรื่อง จะเป็นอย่างไรถ้าวันหนึ่งเกิดมีเชื้อไวรัสที่แพร่กระจาย
แล้วล้างพาเอาพวกผู้ชายหายไปจนหมดโลก เหลือให้โลกนี้ถูกปกครองโดยผู้หญิงทั้งหมด และสาวๆ เหล่านั้นไม่เคยพบเคยเฟ็นหรือรู้จักสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้ชายเลย
พอวันหนึ่งต้องมาเจอกันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น!?


 *.:。*゚‘゚・.。.:* *.:。*゚’゚・.。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:*


Very Thai  - เล่มนี้อาจารย์ต้อมให้ยืมมาหาแง่มุมที่เกี่ยวกับผู้หญิง จะได้บริบทไทยๆ บ้าง

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

Finally, what does Feminism aim for?

Yesterday, I had read a book written by Tomorn Sukapreecha. He is Thai writer who wrote many stuff about gender. One quotation I found he concluded very well (may I translated to English) said:


Sometimes, Feminism may exists in order to destroy itself 
because it may arised just for manifest people to look beyond 'gender' issue.

The stage of each gender is set up by being definied of social, 
so then it is non-essence.

But how important of being feminine, masculine, LGBT?
Yes it's different...but as being 'creation', 
can we different in equallity?

Not equal just for right, but equal as human being.

Regardless of gender: human can always be human, 
understand the world, and approach Nirvana.

Do you believe so?


วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

Four Waves of Feminism: คลื่นทั้งสี่ลูกของสตรีนิยม

ปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวที่ออกมาเรียกร้องเพื่อสิทธิสตรี สามารถแบ่งพัฒนาการออกได้เป็น 4 ช่วง ดังนี้...


1. คลื่นลูกแรก: ช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 
เป็นการเรียกร้องเพื่ออิสระจากการควบคุม เรียกร้องสิทธิในเรื่องต่างๆ ต่อสู้เพื่อพื้นที่ในโลกสาธารณะของผู้หญิง บทบาททางด้านการเมือง เช่น สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง (Suffrage หรือ The right to vote) ของผู้หญิงอังกฤษและอเมริกันในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20 ดำเนินการโดยกลุ่มสตรีชนชั้นกลางผิวขาวเป็นการเคลื่อนไหวที่สำคัญ ซึ่งประสบความสำเร็จทำให้ได้มาซึ่งสิทธิทางกฎหมายของสตรี


2. คลื่นลูกที่สอง: ช่วงปี 1960s ต่อเนื่องมาจนถึง 1990s
เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดไม่นาน คลื่นระลอกนี้เรียกร้องเกี่ยวกับการสร้างความเท่าเทียม การแก้กฎหมาย ความเสมอภาคของสิทธิด้านต่างๆ ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย มีการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า "การปลดปล่อยสตรี" (Women’s Liberation Movement) มีสาระสำคัญว่าการพิจารณาประเด็นปัญหาใดๆ ที่เกี่ยวกับสตรีจะต้องเลิกกระทำภายใต้กรอบความคิดเดิมที่ถือผู้ชายเป็นศูนย์กลางของความถูกต้อง

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแนวคิดสายต่างๆ เกิดแนวคิดสตรีนิยมสายเสรีนิยม สตรีนิยมสายมาร์กซิสต์ สตรีนิยมสายสังคมนิยม สตรีนิยมสายถอนรากถอนโคน สตรีนิยมสายจิตวิเคราะห์ เพื่ออธิบายสาเหตุของความเป็นรองของผู้หญิงรวมทั้งแนวทางกำจัดความเป็นรองที่เกิดขึ้นในสังคม นอกจากนี้สำนักคิดดังกล่าวยังให้ความสำคัญหรือยอมรับในการทำความเข้าใจต่อปัญหาผู้หญิงตามแนววิทยาศาสตร์ด้วย

ขบวนการเคลื่อนไหวในระลอกที่สองนี้เน้นให้ผู้หญิงหันมาทำความเข้าใจกับสถานะของตนอย่างถ่องแท้ จากการตระหนักรู้ถึงความหลากหลายในตัวตนของชนกลุ่มน้อยทั่วโลก เช่น เชื้อชาติ ชนชั้น สีผิว เพศสภาวะ ผ่านการมองโครงสร้างทางอำนาจในสังคมทั้งในส่วนที่เป็นทางการและส่วนที่ไม่เป็นทางการ (พื้นที่ส่วนตัว) โดยกล่าวว่า “เรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องการเมือง” (“The personal is the political”) คลื่นลูกที่สองเน้นเรื่องการต่อสู้เพื่อให้สิ้นสุดการกีดกันทางเพศ และการกดขี่ทางเพศในทางปฏิบัติ


3. คลื่นลูกที่สาม: ช่วงปี 1990s เป็นต้นมา (Post-Feminism)
ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดแบบโพสต์โมเดิร์นเป็นอย่างมาก เกิดจากการผลัดรุ่นของสตรีนิยมในตะวันตก เนื่องจากผู้หญิงรุ่นใหม่เริ่มเห็นด้วยน้อยลงกับแนวคิดสตรีนิยมรุ่นเก่าๆ เกิดการตั้งคำถามต่อข้อเสนอของแนวคิดที่สตรีนิยมสายต่างๆ อันเป็นผลผลิตของยุคที่ผ่านมา ซึ่งยังติดอยู่กับความเป็นสากล ระบบความคิดแบบคู่ตรงข้าม
"มีการมองเพศอย่างหลากหลายซับซ้อนมากขึ้น ไม่ได้ขึ้นต่อเพศทางชีววิทยาอย่างเดียว มี LGBTQI ต่อมาก็มีการเน้นถึงเรื่องเพศสภาวะ (Sexuality) ที่หลากหลายของคน ที่ไม่ได้ยึดติดอยู่กับเพศสภาพ (Gender) เท่านั้น รวมถึงมีเริ่มมีการถามท้าถึงแนวคิดเรื่องเพศกายภาพหรือเพศทางชีววิทยาอีกด้วย จนเดี๋ยวนี้ข้อถกเถียงมาไกลขนาดดึงเอาแนวคิดหลังมนุษยนิยม (Posthumanism) เข้ามาเพื่ออธิบายว่าร่างกายมนุษย์ไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป และเราควรจะมองเรื่องเพศแบบ ‘ไร้เพศสภาพ’ (Genderless) ได้แล้ว เรื่องเพศเป็นเรื่องของเจตจำนงเท่านั้น และหากเรายังมองเพศแบบมี Gender อยู่ (แม้จะแบ่งเป็นเกือบ 30 แบบแล้วก็ตามที) เราก็ยังไม่อาจหลีกหนีจากกับดักเรื่องเพศและแนวคิดแบบมีลึงค์เป็นศูนย์กลาง (Phallocentric) ได้อยู่ดี"
โควตมาจากบทความ นม อำนาจรัฐ และสตรีนิยม
(จริงๆ ข้อมูลส่วนนี้มันมีรายละเอียดยิบย่อยอีกเยอะมากๆ เลยอ่ะแกรร ฮือๆ ถ้าสนใจไปอ่านต่อเองได้ไหม T^T)


4. คลื่นลูกที่สี่: NOW!
คลื่นลูกใหม่ล่าสุดนี้เป็นความเคลื่อนไหวบนเครือข่ายโลกออนไลน์ สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ จากกลุ่ม Gen Y ด้วยช่องทางดิจิทัล มีตัวแทนคลื่นลูกใหม่นี้โดย Emma Watson ทูตสันถวไมตรีของ UN Women ที่มาพร้อมกับแฮชแท็ก #HeforShe ซึ่งเป็นแคมเปญโดยองค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติเพื่อรณรงค์ให้กลุ่มผู้ชายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเท่าเทียมกัน คลื่นลูกที่สี่นี้ใช้สาระเดิมในบริบทโลกใหม่ด้วยเทคโนโลยีในการสร้างความสั่นสะเทือน ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Tumblr, Facebook, Twitter, Blog และการใช้ hashtag



"Men, I would like to take this opportunity to extend your formal invitation. 
Gender equality is your issue too."

—Emma Watson



_________________________________
อ้างอิง:


อ่านเพิ่มเติม:

ป.ล. ตอนแรกว่าจะทำแค่เรื่องผู้หญิงที่ถูกลืมในประวัติศาสตร์สมัยก่อน แต่ไปพรีเซ้นหัวข้อมาเมื่อวานแล้วอาจารย์บอกอยากให้ก้าวข้ามประเด็น Feminism ไปสู่เรื่อง Non-Gender แทน ให้มันร่วมสมัยหน่อย (สรุปได้ทำเพิ่มเป็น 2 เรื่องขนานกันไป... สำหรับ Recital Project ก็อันนึง สำหรับ Creative Research Project ก็อันนึงค่าาาา แอร๊ยยยย์ จิแยกร่างงงง >0<"/)

ป.ล.2 เมื่อนึกได้ดังนี้แล้วก็คิดว่าทำไมไม่ลงแยกในอีกบล็อกวะ แต่ไม่ทันแล้ววว... ขก. = =;